หายใจให้เป็นก็เป็นสุข | เดลินิวส์
„ปัจจุบันคนไทยหันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น โดยเฉพาะการวิ่งมาราธอนที่กำลังได้รับความนิยม แต่มีหลาย ๆ คนต้องยกเลิกไปกลางคันเพราะ “เหนื่อย” วิ่งไปวิ่งมา เจ็บหน้าอก จุกเสียด แน่นท้อง เข้าไปอีก ทำให้เกิดความท้อแท้คิดไปว่าตัวเองทำไม่ได้ อุปสรรคของความมีสุขภาพดีมันเยอะเกินไป รู้หรือไม่ว่านั่นอาจจะเป็นเพราะคุณ ’หายใจไม่เป็น“ “การหายใจมีผลต่อกระบวนการผลิตพลังงานเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์และต่อเนื่อง ดังนั้นนักวิ่งระยะไกล หรือนักวิ่งเพื่อสุขภาพจำเป็นต้องเรียนรู้ หรือหาเทคนิคในการที่จะนำออกซิเจนไปใช้เพื่อให้ร่างกายวิ่งได้อย่างต่อเนื่อง และวิ่งได้นานขึ้น และยังช่วยลดการจุกเสียด ที่เกิดจากการหายใจที่ไม่สอดคล้องกับจังหวะของการวิ่ง” ครูดิน โค้ชนักวิ่งชื่อดัง ระบุถึงความสำคัญของการหายใจ ครูดิน หรือ อาจารย์สถาวร จันทร์ผ่องศรี กรรมการสมาพันธ์ชมรมเดินวิ่งเพื่อสุขภาพไทย อธิบายว่า การวิ่งเป็นการ ออกกำลังกายแบบแอโรบิก มีการใช้ออกซิเจนเป็นตัวสร้าง หรือผลิตพลังงาน ซึ่งการหายใจทางกระบังลมถือว่าเหมาะสมที่สุด เพราะท้องป่อง ขยายช่องอกให้รับออกซิเจนได้มากขึ้น แต่การหายใจตามปกติทั่วไปมักจะหายใจด้วยปอด มากกว่าการหายใจทางกระบังลม ทั้งนี้ หายใจด้วยปอดจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเข้าไปในร่างกายได้น้อย บางคนหายใจสั้น ๆ ตามจังหวะการวิ่งแต่ละก้าว ทำให้เกิดภาวะเหนื่อยง่าย และจุกเสียด แน่นท้อง ที่สำคัญจะทำให้ฮีโมโกล บินไม่สามารถจับออกซิเจนได้ทัน ไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนของเลือด หรือการฟอกเลือดที่ปอดไม่สมบูรณ์ การเผาผลาญของร่างกายก็ไม่สมบูรณ์ ครูดิน บอกว่า การหายใจเพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนได้อย่างเพียงพอคือการหายใจยาว เป็นช่วงเดียว ที่ไม่จำเป็นต้องให้สอดคล้องกับจังหวะการวิ่งแบบ หนึ่ง ต่อ หนึ่ง แต่ควรฝึกหายใจเข้า 1 ครั้ง ครอบคลุมจังหวะการวิ่ง 2 ก้าว 3 ก้าว หรือ 4 ก้าว ก็ได้ แล้วแต่สภาพร่างกายของผู้วิ่งเอง แต่ต้องราบรื่น ไม่ให้สะดุด จากนั้นก็ผ่อนออกยาวไม่ให้สะดุดเช่นเดียวกัน “สำหรับคนที่ยังหายใจไม่เป็นนั้นช่วงแรกอาจจะฝึกฝนด้วยการกระโดดเท้าคู่ อยู่กับที่ เป็นจังหวะ ๆ สม่ำเสมอ ให้ใกล้เคียงกับจังหวะการวิ่ง และฝึกการหายใจจากการกระโดด หายใจเข้า 1 ครั้ง กระโดด 3 ครั้ง หายใจออก 1 ครั้ง กระโดด 3 ครั้ง อย่างนี้เป็นต้น” ทั้งนี้ ครูดิน เตือนว่า ระหว่างการวิ่ง การหายใจไม่ควรจะเม้มปากเอาไว้ เพราะเป็นการจำกัดช่องทางการได้รับออกซิเจนให้ผ่านทางจมูกอย่างเดียวถือว่าไม่สมควร เพราะทำให้ร่างกายร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอตามไปด้วย ดังนั้นควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายที่ต้องการออกซิเจนเป็นไปอย่างสมบูรณ์ เต็มที่ ทั้งนี้ แม้การหายใจจะไม่ได้ก่อผลเสียในระยะยาว แต่ก็เป็นอุปสรรคสำคัญในการออกกำลังกายของคนในยุคปัจจุบัน เนื่องจากอย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่า เมื่อหายใจไม่เป็นแล้วนั้นจะทำให้ร่างกายเหนื่อยง่าย ออกกำลังกายได้ไม่นาน ตามมาด้วยความท้อแท้ และเลิกออกกำลังกายไปในที่สุด แต่ที่จริง ถ้าสามารถออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่อง สุดท้ายร่างกายจะสามารถปรับสภาพในการรับออกซิเจนได้ดีมากขึ้น และปรับตัวในการเอาออกซิเจนไปใช้ได้ดีมากขึ้น ดังนั้นอาการเหนื่อย จึงเป็นดัชนีชี้วัดว่าสมรรถ ภาพทางร่างกายต้องได้รับการปรับปรุง ดังนั้นอย่าเพิ่งท้อ อย่าท้อถอยในการที่จะต้องเจอกับความเหนื่อยในระยะแรก ๆ ของการออกกำลังกาย แต่ควรจะให้ความเหนื่อยของเรานั้นเป็นตัวที่ทำให้เรามีความมุ่งมั่น ในการปรับปรุงสุขภาพของตัวเอง อย่านำมาเป็นข้อจำกัดการพัฒนาสุขภาพร่างกายของเรา เรื่องพื้นฐานแค่หายใจให้เป็นเท่านั้น. อภิวรรณ เสาเวียง“